วันจันทร์ที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

การเลือกผ้าปูที่นอนปลอกหมอนที่ป้องกันไรฝุ่นได้จริง



เป็นหวัดไอจามแพ้บ่อยมาก ตัวเองไม่ชอบไปหาหมอ แต่สามีไปหาหมอตรวจพบว่ามีภูมิต้านทาน mite antigen มีคนแนะนำแยะมากว่าต้องเลือกใช้ผ้ากันไรฝุ่นมาทำผ้าปูที่นอนปลอกหมอน แต่ก็มีหลายชนิดเหลือเกิน ขอคำแนะนำด้วยค่ะ

เป็นหวัดไอจามแพ้บ่อยมาก ตัวเองไม่ชอบไปหาหมอ แต่สามีไปหาหมอตรวจพบว่ามีภูมิต้านทาน mite antigen มีคนแนะนำแยะมากว่าต้องเลือกใช้ผ้ากันไรฝุ่นมาทำผ้าปูที่นอนปลอกหมอน แต่ก็มีหลายชนิดเหลือเกิน ขอคำแนะนำด้วยค่ะ

........................................................

ตอบครับ

งานวิจัยที่ดีที่สุดเรื่องผ้าป้องกันไรฝุ่นคืองานวิจัยของศิริราชเรานี่เอง ซึ่งได้พิสูจน์ว่าครึ่งหนึ่งของผ้าป้องกันไรฝุ่นในตลาดนอกจากจะไม่ได้ผลแล้ว ยังเป็นที่ซุกซ่อนอย่างดีสำหรับไรฝุ่นไปเสียอีก งานวิจัยนี้แบ่งผ้าป้องกันไรฝุ่นในตลาดออกเป็น 5 ชนิด ซึ่งผมขออนุญาตนำรูปประกอบในรายงานวิจัยมาลงให้ดูด้วย


A. ผ้ากันไรฝุ่นชนิดทอหลวมเคลือบฟิลม์ ใช้ไม่ได้ผล เพราะตัวไรฝุ่นใช้ซุกซ่อนตัวได้ดังภาพที่ลูกศรชี้
B. ผ้ากันไรฝุ่นชนิดไม่ถักทอ (non woven) ใช้ไม่ได้ผล เพราะตัวไรฝุ่นอาศัยอยู่ได้สบายเช่นกัน
C. ผ้ากันไรฝุ่นชนิดเคลือบสารฆ่าไร ใช้ได้ผลดี เพราะตัวไรฝุ่นจะตายเมื่อสัมผัสกับสารเคมีที่เคลือบผ้า ในภาพจะเห็นไรตายเป็นก้อนดำๆ
D. ผ้ากันไรฝุ่นชนิดไม่ถักทอแบบละเอียด (non woven) ไม่ได้ผล เพราะไรฝุ่นสามารถซ่อนตัวอยู่ได้จำนวนมาก จะเห็นนอนกันอยู่เป็นแถวตามที่ลูกศรชี้
E. ผ้ากันไรฝุ่นชนิดทอแน่น (knitted woven) ใช้ได้ผลดี เพราะไม่มีช่องว่างให้ตัวไรฝุ่นอาศัยหรือเดินทางฝ่าข้ามไปได้ (ภาพสุดท้าย)

สรุปว่าต้องเป็นผ้ากันไรฝุ่นชนิดทอแน่น หรือผ้ากันไรฝุ่นชนิดเคลือบสารฆ่าไร จึงจะใช้ได้ผล
นอกจากการเลือกใช้ผ้าปูที่นอนปลอกหมอนที่ป้องกันไรฝุ่นได้จริงมาคลุ่มที่นอนแล้ว อย่าลืมว่าการป้องกันกำจัดไรฝุ่นยังต้องรวมไปถึง

1. การหมั่นทำความสะอาดเพื่อกำจัดแหล่งอาหารของมัน อันได้แก่โปรตีนจากสะเก็ดผิวหนังที่หลุดลอก น้ำมูกแห้ง ขี้ไคล เชื้อรา บักเตรี ที่ติดอยู่ตามที่นอน ปลอกหมอน ผ้าห่ม พรม ตุ๊กตา

2. การปรับบรรยากาศที่นอนไม่ให้ไรฝุ่นชอบ คือมันชอบที่นอนอับๆ ชื้นๆ มีแสงน้อย เราต้องทำห้องนอนของเราให้เป็นตรงกันข้าม

3. การซักล้างด้วยความร้อน

4. การซักล้างด้วยสารเคมีฆ่าไรฝุ่น

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

บรรณานุกรม

1. Mahakittikun V, Boitano JJ, Tovey E, Bunnag C, Ninsanit P, Matsumoto T, Andre C. Mite penetration of different types of material claimed as mite proof by the Siriraj chamber method. Journal of Allergy and Clinical Immunology. 2006; 118(5):1164-1168

วันศุกร์ที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2553

สิบเอ็ดคำถามเรื่อง HPV

มีคนไข้สงสัยผลการตรวจการตรวจภายใน จึงส่งผลการตรวจมาให้ช่วยอธิบาย

คุณหมอตอบ

1. ผลการตรวจเป็นอย่างไร
ก่อนอื่นอ่านผลให้ฟังก่อนนะ ซึ่งแบ่งเป็นสองเรื่อง
1.1 ผลตรวจ HPV-HC II ได้ผลบวก แปลว่ามีเชื้อ HPV ชนิดที่เสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งปากมดลูกอยู่ในตัว แต่บอกไม่ได้ว่าเป็นตัวไหน เพราะมันมีหลายตัว (16, 18) ถ้าจะให้รู้แน่ว่ามีตัวไหนบ้าง ครั้งหน้าเวลาตรวจภายในให้บอกสะเป๊กไปชัดๆว่าให้ตรวจ HPV แบบ PCR-genotype เสียเงินพอๆกัน แต่ได้ข้อมูลมากว่า คือทำให้เรารู้ว่าเชื้อที่มีอยู่ในตัวนั้นเป็น type ไหนบ้าง ชนิดที่พอจะใช้วัคซีนป้องกันได้ เรามีหมดแล้วหรือยัง ถ้ามีหมดแล้วก็ไม่ต้องไปฉีดวัคซีน เพราะว่า..สายไปเสียแล้ว แต่ถ้าบาง type ที่วัคซีนป้องกันได้ (6, 11, 16, 18)เรายังไม่ได้ติดมา การฉีดวัคซีนป้องกัน HPV ก็มีประโยชน์

1.2 ผลการตรวจ Cytology (เซลมะเร็ง) ได้ผลว่ามีแต่การอักเสบ ไม่มีเซลมะเร็ง ถ้าเทียบระบบอ่านเบเทสด้าก็เรียกว่าเป็น NILM (negative for intraepithelial lesion) แปลไทยเป็นไทยว่าไม่ได้เป็นมะเร็งปากมดลูก ยังไม่ได้ทำท่าว่าจะเป็นด้วย

2. เมื่อผลตรวจออกมาเป็นเช่นนี้แล้วเป็นอันตรายมากไหม
ตอบว่ายังไม่อันตรายครับ

3. มีโอกาสเป็นมะเร็งปากมดลูกมากน้อยเพียงใด
ตอบว่าไม่ทราบครับ ทราบแต่ว่ามีโอกาสเป็นมากกว่าคนที่ไม่มี HPV เพราะปัจจุบันนี้ยังไม่มีข้อมูลว่าคนที่ตรวจเซลมะเร็งอยู่ในระดับ NILM แต่ตรวจ HPV ได้ผลบวก จะมีโอกาสเป็นมะเร็งกี่เปอร์เซ็นต์ มีข้อมูลแต่เพียงว่าถ้าตรวจพบเซลมะเร็งอยู่ในระดับอาจเป็นมะเร็ง (ASC-US หรือ atypical squamous cell of undetermined significance) ด้วย ร่วมกับตรวจ HPV ได้ผลบวกด้วย จะมีโอกาสเป็นมะเร็ง 13% แต่นั่นไม่ใช่กรณีของคุณ เพราะคุณเป็นระยะ NILM ไม่ใช่ระยะ ASC-US

4. แล้วในระหว่างที่มีเชื้อ HPV นั้นเกิดจากการมีเพศสัมพันธ์กับแฟนใช่ไหม
ตอบว่า..ใช่ครับ

5. การที่แฟนเคยเที่ยว ญ บริการมาถึงแม้จะสวมถุงยางอนามัยทุกครั้งก็ติดเชื้อ HPV ได้ใช่ไหม
ตอบว่าใช่ครับ เชื้อ HPV ติดต่อจากผิวหนังสู่ผิวหนัง ส่วนที่ไม่ได้ครอบโดยถุงยางก็รับเชื้อมาได้ ถุงยางอนามัยจึงป้องกันได้ประมาณ 70% ไม่ใช่ 100%

6. แฟนไม่ได้เที่ยว ญ บริการมานานกว่า 8 ปีแล้ว ดิฉันยังจะติดเชื้อได้หรือ
ตอบว่าเป็นไปได้ เพราะอาจจะติดเชื้อกันมาตั้งแต่หลายปีมาแล้ว แม้ว่า 91% ของผู้ติดเชื้อจะกำจัดเชื้อได้หมดด้วยตนเองได้ในสองปี แต่ก็ยังมีอีกประมาณ 9% ที่ร่างกายไม่สามารถกำจัดเชื้อได้หมด ต้องคงอยู่ในตัวต่อไปได้นาน ไม่รู้จะอีกนานกี่ปี เรียกง่ายๆว่าเชื้อดื้อ หรือกลายเป็นพาหะ

7. เมื่อพบเชื้อ HPV แล้วการดูแลตัวเองควรทำอย่างไร
ต้องยกเว้นการมีเพศสัมพันธ์กับแฟนเลยไหม ตอบว่าไม่จำเป็นต้องถึงขั้น No Sex ครับ เพราะไม่มีหลักฐานใดๆบอกว่าการมีเพศสัมพันธ์จะทำให้ร่างกายเคลียร์เชื้อได้ช้าลง ส่วนที่กลัวว่าจะเอาเชื้อไปติดแฟนนั้นไม่ต้องกลัว เขามีเชื้อนี้อยู่แล้ว หรือไม่ก็มีภูมิคุ้มกันแล้ว เพราะเขาเองเป็นคนเอาเชื้อนี้มาปล่อยให้เรา

8. สมมุติว่าตัวเองดูแลตนเองจนไม่มีเชื้อ HPV แล้วนั้นจะทราบได้อย่างไรว่าแฟนยังเป็นพาหะอีก ดิฉันก็จะกลับไปติดเชื้อนั้นอีกจากแฟนได้หรือไม่
ตอบว่าหากร่างกายของเราเคลียร์เชื้อได้จริง แสดงว่าร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันเชื้อนั้นได้แล้ว จะไม่ติดเชื้อนั้นอีกครับ แม้ว่าจะได้รับเชื้อซ้ำก็ตาม

9. สำหรับผู้ชาย มีอันตรายไหม
มีวิธีรักษาหรือไม่ ตอบว่า HPV ทำให้ผู้ชายป่วยเป็นหงอนไก่ได้ และยังทำให้เป็นมะเร็งอวัยวะเพศ (penis) และมะเร็งทวารหนักได้เช่นกัน การรักษาจะต้องรอให้เป็นก่อน จึงจะรักษาด้วยวิธีจี้หรือตัดออก

10. มีวิธีตรวจคัดกรอง HPV ในผู้ชายไหม
ตอบว่า ปัจจุบันนี้ยังไม่มีวิธีตรวจคัดกรองเชื้อ HPV ในผู้ชาย แต่ที่อเมริกามีการทำ anal Pap test หมายความว่าเอาผู้ชายรักร่วมเพศไปตรวจทวารหนักคล้ายกับการตรวจภายของในผู้หญิง ในบ้านเราเท่าที่ผมทราบยังไม่มีใครทำกัน

11. ฉีดวัคซีนป้องกันให้ผู้ชายได้ไหม
ตอบว่า ฉีดได้ครับ FDA เพิ่งอนุมัติให้ฉีดวัคซีน HPV ในผู้ชายได้เมื่อไม่กี่เดือนมานี้เอง ถ้าฉีดอย่างน้อยในเชิงทฤษฏีก็จะมีประโยชน์ในการป้องกันหงอนไก่ แต่ข้อมูลวัคซีนในผู้ชายยังมีน้อยมาก ยังแนะนำอะไรเป็นตุเป็นตะไม่ได้ตอนนี้


นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

วันอังคารที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2553

ชอบรองเท้าส้นสูงมาก มีผลเสียต่อสุขภาพมากไหม

เป็นคนรูปร่างไม่สูง (155 ซม.) ต้องใส่รองเท้าส้นสูงมากๆจึงจะมีความมั่นใจ แต่ก็มีคนทักว่าใส่รองเท้าส้นสูงแล้วจะเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ อยากถามว่าผลของการใช้รองเท้าส้นสูงต่อสุขภาพมีมากเพียงใด???

นุช


ตอบครับ

ยังไม่เคยมีรายงานการสุ่มตัวอย่างเปรียบเทียบนะครับ ว่าระหว่างคนใส่ส้นสูงกับคนไม่ใส่ สุขภาพของเท้า เข่า และหลังใครจะดีไม่ดีกว่ากันอย่างไร เข้าใจว่าคงไม่มีผู้หญิงยอมให้สุ่มตัวอย่างเข้ากลุ่มไม่ให้ใส่ส้นสูงนะครับ งานวิจัยนี้จึงไม่เกิดขึ้น อย่างไรก็ตาม วงการแพทย์มีการคาดเดาจากหลักท่าร่างกลไกการทำงานของกระดูกและกล้ามเนื้อ ว่าการใส่รองเท้าส้นสูงน่าจะมีผลเสีย เท่าที่ตีพิมพ์ไว้ในวารสารการแพทย์ที่ผมพอรวบรวมได้มีดังนี้

1. การสวมรองเท้าส้นสูงต้องอยู่ในท่าเหยียดฝ่าเท้า (plantarflex) ตลอดเวลา ทำให้น้ำหนักไปตกหน้กอยู่ที่ฝ่าเท้าส่วนหน้า ร่างกายต้องปรับไปใช้ท่าแบบย่องเบา โดยโดยแอ่นพุงไปข้างหน้าและหงายหลังส่วนบนมากขึ้นเพื่อรักษาดุล ซึ่งไม่ใช่ท่าร่างตามปกติ ถ้าต้องอยู่ในท่าแบบนี้เป็นประจำก็ทำให้ปวดหลังได้

2. เวลาเดินด้วยรองเท้าส้นสูง เท้าหลังจะออกแรงถีบตัวได้น้อย ทำให้กล้ามเนื้อเข่าต้องทำหน้าที่แทนมากขึ้น นอกจากนี้เวลาเดินต้องเดินเหมือนกับเดินกายกรรมบนขอนไม้ ข้อเท้าถูกบีบให้อยู่ในท่าแบะออก (supinate) กระดูกหน้าแข้ง (tibia) จะหมุนบิดเข้าใน (varus) ทำให้มีแรงกดที่ด้านในของผิวข้อเข่าซึ่งเป็นจุดเกิดเข่าอักเสบ (OA) ง่าย นอกจากนี้รองเท้าส้นสูงยังเพิ่มระยะระหว่างหัวเข่ากับพื้น ทำให้เกิดแรงกระทำ (torque) ที่หัวเข่ามากขึ้น จึงน่าจะทำให้เข่าเสื่อมเร็วได้

3. การอยู่ในท่าเขย่งเท้านานๆทำให้กล้ามเนื้อน่อง (gastrocnemius) และเอ็นร้อยหวาย (achilles tendon) หดสั้น ทำให้เกิดแรงดึงของเอ็นร้อยหวายต่อกระดูกส้นเท้า (cacaneus) น่าจะเป็นต้นเหตุนำไปสู่ภาวะเอ็นอักเสบเรื้อรัง (insertional Achilles tendinitis)

4. การเดินแบบเขย่งทำให้น้ำหนักย้ายไปกดที่ฝ่าเท้าส่วนหน้า ยิ่งส้นสูง ยิ่งกดมาก ถ้าส้นสูง 3 ¼ นิ้ว แรงกดจะเพิ่มขึ้น 76% ทำเกิดตาปลา (bunion) ขึ้นที่ฝ่าเท้าส่วนหน้าและหัวแม่เท้า ทำให้เจ็บ

5. รูปทรงของรองเท้าที่บีบปลายทำให้นิ้วเท้าเบียดซ้อนกัน มีการบาดเจ็บของผิวหนังเป็นตุ่มน้ำพองหรือเป็นไตแข็งได้ง่ายเมื่อใช้รองเท้าไปนานเข้าหรือเมื่ออายุมากขึ้น

ดังนั้น ถ้ามองว่าคนเราควรการถนอมรักษาการใช้งานอวัยวะร่างกายให้อยู่ในท่าใกล้เคียงปกติให้มากที่สุด ก็แนะนำว่าควรสวมรองเท้าส้นสูงเฉพาะเวลาจำเป็น และเมื่อสวมก็ไม่ควรสวมรองเท้าที่ส้นสูงเกินไป เช่นส้นสูงประมาณ 1 ½ นิ้วก็น่าจะถือว่าโอเค.แล้ว

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

บรรณานุกรม
1. Ebbeling CJ, Hamill J, Crussemeyer JA. Lower extremity mechanics and energy cost of walking in high-heeled shoes. J Orthop Sports Phys Ther. 1994 Apr;19(4):190-6.
2. Esenyel M, Walsh K, Walden JG, Gitter A. Kinetics of high-heeled gait. J Am Podiatr Med Assoc. 2003 Jan-Feb;93(1):27-32.
3. Kerrigan DC, Johansson JL, Bryant MG, Boxer JA, Della Croce U, Riley PO. Moderate-heeled shoes and knee joint torques relevant to the development and progression of knee osteoarthritis. Arch Phys Med Rehabil. 2005 May;86(5):871-5.
4. Kerrigan DC, Todd MK, Riley PO. Knee osteoarthritis and high-heeled shoes. Lancet. 1998 May 9;351(9113):1399-401.
5. Opila KA, Wagner SS, Schiowitz S, Chen J. Postural alignment in barefoot and high-heeled stance. Spine. 1988 May;13(5):542-7.

วันศุกร์ที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2553

ปวดศีรษะอย่างไร...ไม่ใช่เรื่องธรรมดา

โอ๊ย..! ปวดหัวจังเลยยย...

ปวดศีรษะเป็นอาการที่พบได้บ่อยเกือบทุกคน ซึ่งผู้ที่มีอาการมักจะกังวลว่าจะเป็นโรคร้ายแรง เช่น เนื้องอกในสมอง หรือ เส้นเลือดผิดปกติ ซึ่งต้องยอมรับว่า ส่วนหนึ่งเป็นเรื่องจริง แต่ส่วนใหญ่ ผู้ที่ปวดหัวก็มักจะไม่ได้มีโรคร้ายดังกล่าว การที่จะรู้ว่าการปวดศีรษะขนาดไหนเป็นการปวดศีรษะแบบธรรมดาๆ ไม่ร้ายแรง หรือปวดศีรษะขนาดไหนเป็นการปวดที่ผิดปกติ และอาจเกี่ยวข้องกับโรคร้ายแรง มีข้อสังเกตได้ไม่ยาก ที่พบบ่อยในคนวัยทำงานคือ ไมเกรน ซึ่งมักมีอาการปวดตุ๊บๆ ครึ่งซีก แถวขมับ เบ้าตา ด้านข้าง หรือ ท้ายทอยบางคนมีคลื่นไส้ และอาเจียน
อาการปวดศีรษะแบบไม่ร้ายแรง

การปวดศีรษะแบบไม่ร้ายแรงมีหลายชนิดที่พบบ่อยในคนวัยทำงานคือ ไมเกรน ซึ่งมักมีอาการปวดตุ๊บๆ ครึ่งซีก แถวขมับ เบ้าตา ด้านข้าง หรือท้ายทอย บางคนมีคลื่นไส้และอาเจียนได้ อาการปวดย้ายข้างได้แต่มักเป็นข้างหนึ่งบ่อยกว่าอีกข้าง บางครั้งก็ปวด สองข้างได้ บางคนมีอาการนำก่อนปวดศีรษะที่เรียกว่า ออรา เช่นเห็นแสงระยิบระยับไฟกระพริบ เห็นเส้นหยักขยายขึ้น ความรุนแรงของการปวดก็ต่างไปในแต่ละคน แต่ผู้ป่วยมักจะอยากนอนพัก หรืออยู่เงียบๆ จะดีกว่า แต่ละคน ตอบสนองต่อยาไม่เหมือนกัน และยาแก้ปวดแต่ละชนิดมีผลข้างเคียงแตกต่างกัน และที่สำคัญการใช้ยาผิดวิธีจะเกิดการติดยาและไม่หายปวดหรือปวดมากขึ้นได้

ข้อแนะนำ
ไม่แนะนำให้ผู้ป่วยซื้อยากินเองและถึงแม้ว่าโรคไมเกรนจะไม่ก่อให้เกิดความพิการหรือมีผลต่อร่างกาย แต่ก็ไม่หายขาด บางรายอาจดีขึ้นได้เมื่ออายุมากขึ้น บางรายก็เป็นไปตลอดดังนั้นการหลีกเลี่ยงสิ่งกระตุ้น และการปรับยาอย่างเหมาะสม จะช่วยให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นได้

วิธีสังเกตอาการปวดศีรษะที่ไม่ใช่ธรรมดาๆ
- ถ้าปวดศีรษะมากๆ เป็นครั้งแรกในคนอายุมากกว่าสี่สิบปีก็ต้องหาสาเหตุ เพราะถ้าปวดไมเกรน (ปวดมากๆ) มักมีประวัติเริ่มปวดตั้งแต่อายุน้อยกว่านี้
- ปวดทันทีและรุนแรงมาก บางคนบอกว่ารุนแรงที่สุดในชีวิตมักสงสัยเส้นเลือดแดงแตก
- ปวดมากขึ้นเรื่อยๆ ไม่มีช่วงหายปวด หรือ เบาลงเลย
- ปวดจนนอนไม่หลับหรือจนต้องตื่นมาปวดกลางคืน
- ตื่นเช้ามาพร้อมกับความปวดปวดหัวมาก พร้อมกับมีไข้ หรือ
- อาการทางสมองร่วมด้วยถ้าเคยมีอาการปวดหัวเรื้อรังแต่ไม่อันตราย (เช่น ไมเกรน) มาก่อน แต่ตอนหลังลักษณะอาการปวดเปลี่ยนไปจากเดิม ไม่หายสนิท หรือเพิ่มมากขึ้นให้ระวังมีโรคอื่นเพิ่มมาทีหลัง
- มีอาการทางระบบประสาทร่วมด้วย เช่นชัก อ่อนแรง หรือชาครึ่งซีก เดินเซ ตามัวลงหรือมองไม่เห็นด้านใดด้านหนึ่ง และอื่นๆ
- เคยมีอุบัติเหตุทางศีรษะมาก่อน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในคนสูงอายุ จะพบเลือดค่อยๆคั่งในสมองได้อย่างช้าๆ ใช้เวลาเป็นเดือนกว่าจะแสดงอาการชัดเจน
- ไอ จาม หรือ เปลี่ยนท่าทางแล้วปวดศีรษะมาก
- มีอาการทางฮอร์โมนร่วมด้วย เช่น ประจำเดือนขาดหายไปโดยไม่ได้ตั้งครรภ์
- ปวดข้างเดียวตลอดไม่เคยย้ายข้างเลยเพราะถ้าเป็นไมเกรนมักจะย้ายข้างได้มีโรคร่วม เช่น มะเร็ง โรคเอดส์
- คนที่เคยมีเส้นเลือดดำอุดตันที่ขาหรือที่อื่นๆประวัติครอบครัวมีเส้นเลือดดำอุดตัน dbo ยาคุม หรือมีโรคมะเร็ง จะมีโอกาสเกิดเส้นเลือดดำอุดตันทั้งในและนอกสมองได้แต่ก็พบไม่บ่อย


สัญญาณอันตราย!!..ที่ไม่ควรมองข้าม..
คุณมีอาการดังต่อไปนี้หรือไม่?

คุณปวดหัวอยู่ประจำ แต่ครั้งนี้ปวดมากกว่าทุกครั้ง หรือไม่?

คุณไม่เคยปวดหัวมาก่อน อยู่ก็มาปวดหัวมาก หรือไม่?

คุณปวดหัวร่วมกับมีอาการทางสายตาด้วย หรือไม่?

คุณปวดหัวร่วมกับมีอาการคลื่นไส้อาเจียน หรือไม่?

คุณปวดหัวร่วมกับง่วงนอนหรือซึมมึนงงผิดสังเกต หรือไม่?

หากคุณพบว่ามีอาการใดอาการหนึ่ง อาจเป็นสัญญาณเริ่มต้นของโรคสำคัญ
ดังนั้น คุณควรพบและปรึกษาแพทย์เพื่อวินิจฉัยโดยละเอียด

วันพุธที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2553

อาการปวดท้อง...มักเกิดขึ้นบ่อยกับคนวัย 40+

อาการปวดท้องที่มีสาเหตุจากอวัยวะภายนอกช่องท้อง สามารถทำให้เกิดอาการปวดท้องได้ โดยที่อาจทำให้เข้าใจผิดว่ามาจากโรคภายในช่องท้อง ที่สำคัญได้แก่ โรคปอดบวมแล้วมีเยื่อหุ้มปอดอักเสบ, โรคกล้ามเนื้อหัวใจตาย ซึ่งพบในผู้ป่วยวัยกลางคนขึ้นไปอาจมีอาการปวด จุกแน่นบริเวณช่องท้องส่วนบน, โรคหลอดอาหารส่วนปลายอักเสบ แม้กระทั่งโรคที่ผิวหนังที่บริเวณหน้าท้องก็อาจจะทำให้มีอาการปวดท้องรุนแรงได้ เช่น โรคงูสวัด จะมีอาการปวดแสบปวดร้อนบริเวณหน้าท้องก่อนจะมีตุ่มใสๆ เกิดขึ้นที่บริเวณหน้าท้องก็ได้

โดยสรุปจะเห็นได้ว่าอาการปวดท้องนั้น เป็นอาการที่มีสาเหตุมาจากโรคต่างๆ ได้มากมาย เราสามารถแบ่งบริเวณที่ปวดท้องได้เป็น 9 ส่วนคือ
1. ชายโครงขวา คือ ตับและถุงน้ำดี อาการที่พบมักจะกดแล้วเจอก้อนแข็งร่วมกับอาการตัวเหลือง ตาเหลือง ซึ่งสันนิษฐานเบื้องต้นได้ว่าอาจเป็นโรคเกี่ยวกับตับหรือถุงน้ำดีเช่น ตับอักเสบ ฝีในตับถุงน้ำดีอักเสบ
2. ใต้ลิ้นปี่ คือ กระเพาะอาหาร ตับอ่อน ตับ และกระดูกลิ้นปี่ ถ้าปวดเป็นประจำเวลาหิวหรืออิ่ม อาจเป็นโรคเกี่ยวกับกระเพาะ ถ้าปวดรุนแรงร่วมกับคลื่นไส้อาเจียน อาจเป็นโรคตับอ่อนอักเสบ หากคลำเจอก้อนเนื้อค่อนข้างแข็งและมีขนาดใหญ่อาจหมายถึงตับโต แต่หากคลำได้ก้อนสามเหลี่ยมแบนเล็กๆ มักเป็นกระดูกลิ้นปี่
3. ชายโครงขวา คือ ม้าม ซึ่งมักจะคลำเจอก้อนเนื้อบริเวณนี้
4. บั้นเอวขวา คือ ท่อไต ไต ลำไส้ใหญ่ ถ้าปวดร่วมกับถ่ายอุจจาระผิดปกติหรือถ่ายเป็นเลือด อาจเป็นเพราะลำไส้ใหญ่อักเสบ ถ้าปวดร้าวถึงต้นขา อาจเป็นนิ่วในท่อไต หากปวดร่วมกับปวดหลัง มีไข้ หนาวสั่น ปัสสาวะขุ่น อาจเป็นกรวยไตอักเสบและถ้าคลำเจอก้อนเนื้ออาจเป็นไตโตผิดปกติหรือเนื้องอกในลำไส้ใหญ่
5. รอบสะดือ คือ ลำไส้เล็ก มักพบในโรคท้องเดินหรือไส้ติ่งอักเสบ (ก่อนจะย้ายมาปวดท้องน้อยขวา) แต่ถ้าปวดแบบมีลมในท้องก็อาจเป็นเพราะกระเพาะลำไส้ทำงานผิดปกติ
6. บั้นเอวซ้าย คือ ท่อไต ไต ลำไส้ใหญ่ (เหมือนข้อ 4)
7. ท้องน้อยขวา คือ ไส้ติ่ง ท่อไต และปีกมดลูก ปวดเกร็งเป็นระยะ ร้าวมาที่ต้นขา อาจเป็นเพราะมีก้อนนิ่วในกรวยไต ถ้าปวดเสียดตลอดเวลา กดแล้วเจ็บมาก มักเป็นไส้ติ่งอักเสบ หรือถ้าปวดร่วมกับมีไข้สูง หนาวสั่น มีตกขาว มักเป็นเพราะปีกมดลูกอักเสบ และหากคลำแล้วเจอก้อนเนื้อ อาจเป็นก้อนไส้ติ่งหรือรังไข่ผิดปกติ
8. ท้องน้อย คือ กระเพาะปัสสาวะและมดลูก ถ้าปวดเวลาถ่ายปัสสาวะหรือถ่ายกะปริบกะปรอย มักเป็นเพราะกระเพาะปัสสาวะอักเสบ หรือนิ่วในกระเพาะปัสสาวะ ถ้าปวดเกร็งเวลามีประจำเดือน เป็นอาการปวดประจำเดือน แต่ในรายที่ปวดเรื้อรังในหญิงแต่งงานแล้วไม่มีบุตร อาจเป็นเนื้องอกในมดลูก
9. ท้องน้อยซ้าย คือ ปีกมดลูกและท่อไต ถ้าปวดเกร็งเป็นระยะและร้าวมาที่ต้นขา มักเป็นนิ่วในท่อไต หากปวดร่วมกับมีไข้ หนาวสั่น ตกขาว เป็นเพราะมดลูกอักเสบ หรือถ้าปวดร่วมกับถ่ายอุจจาระผิดปกติ อาจเป็นเพราะลำไส้ใหญ่อักเสบ แต่ถ้าคลำพบก้อนร่วมกับอาการท้องผูกเป็นประจำ อาจเป็นเนื้องอกในลำไส้

สัญญาณอันตราย...หากคุณมีอาการดังต่อไปนี้
1. คุณปวดท้องใต้ชายโครงขวา หรือไม่?
2. หลังรับประทานอาหารแล้ว คุณมีอาการแน่นท้องอืดนาน แถมมีคนทักคุณว่าตาเหลืองด้วย หรือไม่?
3. คุณปวดท้องแน่นท้องส่วนบน แถมมีไข้หนาวสั่นด้วย หรือไม่?

หากคุณพบว่ามีอาการใดอาการหนึ่ง อาจเป็นสัญญาณเริ่มต้นของโรคสำคัญ ดังนั้น คุณควรพบและปรึกษาแพทย์เพื่อวินิจฉัยโดยละเอียด

วันจันทร์ที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2553

เลือกอาหาร...พิชิตโรคอ้วน

การลดความเสี่ยงต่อโรคอ้วนนั้นไม่ยาก ทำได้โดยการปรับเปลี่ยนการใช้ชีวิตประจำวัน การรู้จักวิธีการเลือกอาการการกินให้มากขึ้น


กินอาหารสมดุล ควบคุมสัดส่วนและปริมาณอาหารแต่ละกลุ่มให้พอเหมาะในแต่ละวัน
วัยรุ่นหญิง-ชาย อายุ 14-25 ปี ควรรับปริมาณวันละ 2,000 กิโลแคลอรี
วัยทำงานอายุ 25-60 ปี ผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป ควรรับปริมาณวันละ 1,600 กิโลแคลอรี
หญิง-ชายที่ใช้พลังงานมาก เช่น นักกีฬา เกษตรกร ควรรับปริมาณวันละ 2,400 กิโลแคลอรี

ควรรู้จักเลือกอาหารต่างๆ ในแต่ละวันตามนี้

ข้าว 1 จานนั้นให้พลังงานประมาณ 250 กิโลแคลอรี (ประมาณ 2 ทัพพีครึ่ง) ถ้าลดข้าวมื้อละ 1 ทัพพีใน 1 วัน สามารถลดพลังงานได้ถึง 300 กิโลแคลอรี

ผลไม้ ควรเลือกที่ให้พลังงานต่ำ เช่น ส้ม ชมพู่ ฝรั่ง แคตาลูป มะละกอ แตงโม สาลี่ แอปเปิล ดีกว่าผลไม้ที่หวานจัดให้พลังงานสูง เช่น ทุเรียน ขนุน ลำไย ลิ้นจี่ มะขามหวาน

ผัก ควรเลือกกินให้มากๆ เพราะให้พลังงานน้อย แต่ได้คุณค่าสารอาหารมาก มีเส้นใยอาหารมาก ผักบางชนิดทำให้อิ่มนาน แต่พลังงานนิดเดียว เหมาะมากสำหรับผู้ควบคุมน้ำหนัก

เนื้อสัตว์ เลือกกินปลา ไข่ขาว กุ้ง ปู เนื้อไก่ ดีกว่าเลือกกินไข่เจียว ไก่ทอด หมูกรอบ เครื่องในสัตว์

กะทิ/น้ำมัน น้ำมัน 1 ช้อนชา ให้พลังงานสูงถึง 45 กิโลแคลอรี ถ้าประกอบอาหารประเภทต้ม นึ่ง ย่าง อบ ตุ๋น ยำ จะช่วยลดพลังงานจากการใช้น้ำมันปรุงได้มากทีเดียว อาหารทอดใช้น้ำมันอย่างน้อย 2 ช้อนโต๊ะ นั่นเกือบ 300 กิโลแคลอรี กะทิ 1 ถ้วยแกง จะมีหัวกะทิ 1 ช้อนโต๊ะ พลังงานเท่ากับไขมัน 2 ช้อนชา ถ้าเลือกกินแกงส้ม ต้มยำ แทนแกงกะทิ ก็ลดพลังงานได้กว่า 100 กิโลแคลอรี

เครื่องดื่ม น้ำอัดลมเป็นเครื่องดื่มที่เรียกน้ำหนักได้มากทีเดียว เพราะ 1 กระป๋องให้พลังงานถึง 240 กิโลแคลอรี

อาหารว่าง ไม่ควรกินบ่อย เพราะส่วนใหญ่จะมีส่วนผสมของแป้ง น้ำตาล ไขมัน เนย เช่น คุ้กกี้ ช็อกโกแลต มันฝรั่งทอด โรตี ทองหยอด ขนมขบเคี้ยว จะได้พลังงานไม่น้อยกว่า 200 กิโลแคลอรี ถ้างดไม่ได้ให้เลือกผลไม้ชนิดที่ไม่หวานแทน จะได้พลังงานต่ำลง เพิ่มวิตามินและเกลือแร่ด้วย

รู้อย่างนี้แล้ว หันมาเลือกอาหารที่มีประโยชน์ วันละนิด ค่อยๆ ปรับพฤติกรรมทีละน้อย ทำบ่อยๆ จนกลายเป็นนิสัย โรคภัยไข้เจ็บต่างๆ จะไม่ถามหา โรคอ้วนลงพุง ก็ไม่มีทางมาคุกคาม

ขอบคุณข้อมูลจากนิตยสาร healthToday ฉบับที่ 104
http://www.phyathai.com/

วันอังคารที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2553

อาการเจ็บแน่นหน้าอก

อาการเจ็บแน่นหน้าอก
อาการเจ็บแน่นหน้าอกที่แสดงว่ามีกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด (angina) เป็นอาการที่แสดงว่ามีเลือดแดงไปเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจไม่เพียงพอไม่ว่าจะด้วยสาเหตุใดๆ ก็ตาม

ลักษณะของอาการ
- เจ็บแน่นหน้าอกแบบหนักๆ เหมือนถูกกดทับหรือบีบรัก หรือรู้สึกอึดอัดหรือแสบร้อนบริเวณหน้าอก อาจร้าวไปที่ไหล่ซ้าย คอ หรือ แขนซ้าย หรือรู้สึกหายใจไม่สะดวกร่วมด้วย อาการจะเกิดขึ้น
และถึงจุดที่เป็นมากที่สุดในเวลาเพียงไม่กี่นาที มักจะถูกกระตุ้นให้เกิดอาการด้วยการออกแรงหรือการเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์ เช่น โกรธ เครียด
- ถ้าได้อมยาหรือพ่นยาขยายหลอดเลือดหัวใจใต้ลิ้นแล้วอาการดังกล่าวจะทุเลาลง

สาเหตุที่ทำให้เลือดไปเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจไม่พอ
- หลอดเลือดที่ไม่เลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจตีบ หรืออุดตันหลอดเลือดที่ไม่เลี้ยงกล้ามเนื้อ
- หัวใจหดเกร็งตัว
- โรคของลิ้นหัวใจบางชนิด
- โรคกล้ามเนื้อหัวใจหนาผิดปกติ
- ภาวะโลหิตจางรุนแรง ธัยรอยด์เป็นพิษ ฯลฯ

อาการเหล่านี้มักไม่ใช่อาการเจ็บหน้าอกที่แสดงว่ามีกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด (angina)
- เจ็บแบบเสียดๆ หรือคล้ายมีของแหลมทิ่มแทง
- หายใจเข้าออก ไอ เคลื่อนไหวร่างกาย หรือยกแขนแล้วเจ็บมากขึ้น
- เจ็บเป็นช่วงเวลาสั้นมากๆ เป็นวินาที หรือเจ็บติดต่อกันนานเป็นชั่วโมงหรือเป็นวัน
- เจ็บร้าวลงมาถึงบริเวณสะโพกหรือขา

สาเหตุอื่นๆ ของอาการเจ็บแน่นหน้าอก
- เยื้อหุ้มหัวใจหรือเยื้อหุ้มปอดอักเสบ
- หลอดเลือดแดงใหญ่ในช่องอกฉีกขาด
- หลอดเลือดดำจากหัวใจไปสู่ปอดอุดตัน
- ปอดแตก ทำให้มีลมในช่องเยื้อหุ้มปอด
- แผลในกระเพาะอาหาร กรดไหลย้อนเข้าสู่หลอดอาหาร หรือถุงน้ำดี/ตับอ่อนอักเสบ
- กล้ามเนื้อหรือกระดูกอ่อนบริเวณทรวงอกอักเสบ

การวินิจฉัยสาเหตุของอาการเจ็บแน่นหน้าอก อาศัยการซักประวัติอย่างละเอียดและตรวจร่างกายเพื่อแยกประเภทของอาการว่าน่าจะมีแหล่งที่มาของอาการเจ็บจากอวัยวะส่วนใด หลังจากนั้นอาจต้องใช้การตรวจเพิ่มเติมอื่นๆ เช่น ตรวจเลือด ตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ เอกซเรย์ทรวงอก ตรวจหัวใจด้วยคลื่นเสียงความถี่สูง หรือตรวจคลื่นหัวใจขณะเดินสายพาน หรือทดลองให้ยา เช่น นาขยายหลอดเลือดหัวใจ ยาแก้ปวดคลายกล้ามเนื้อ ฯลฯ แล้วดูการตอบสนองต่อยาว่าผู้ป่วยดีขึ้นหรือไม่หลังการให้การรักษา

โรคประจำตัวที่เป็นปัจจัยเสี่ยงของโรคหัวใจ
อย่างไรก็ตาม ผู้ที่มีอาการเจ็บแน่นหน้าอกทุกรายโดยเฉพาะผู้สูงอายุ มักมีโรคประจำตัวที่เป็นความเสี่ยงของการเป็นโรคหัวใจ เช่น ความดันโลหิตสูง เบาหวาน ไขมันในเลือดสูงหรือผู้ที่สูบบุหรี่ ไม่ควรนิ่งนอนใจ ควรรีบพบแพทย์ โดยเฉพาะในขณะที่มีอาการเพื่อหาสาเหตุและให้การวินิจฉัย หากอาการเจ็บหน้าอกดังกล่าวมีสาเหตุจากโรคที่รุนแรง โดยเฉพาะหลอดเลือดหัวใจอุดตันหรือตีบ แพทย์จะได้เร่งให้การรักษาอย่างถูกต้องและรวดเร็ว เพื่อลดอัตรการเสียชีวิตและทุพลภาพที่อาจเกิดขึ้นจากภาวะดังกล่าว


ศูนย์หัวใจพญาไท โรงพยาบาลพญาไท (Phyathai Heart Center)
Call Center 1772

วันพฤหัสบดีที่ 3 มิถุนายน พ.ศ. 2553

โรคลิ้นหัวใจรั่ว

โรคลิ้นหัวใจรั่ว โรคที่เป็นภัยเงียบสำหรับคนเรา ที่บอกว่าเป็นภัยเงียบนั่นเป็นเพราะว่า ลิ้นหัวใจรั่วเพียงเล็กน้อย จะไม่แสดงอาการใดๆ เลย ในระยะแรก จนกว่าหัวใจไม่สามารถทนรับกับ ปริมาณเลือดที่เพิ่มสูงขึ้น ทำให้เกิดอาการของภาวะหัวใจล้มเหลว (Heart Failure) เช่น หัวใจเต้นไว หอบ เหนื่อยง่าย ใครที่มีอาการดังกล่าว จึงควรหาเวลาไปตรวจสุขภาพร่างกาย ประจำปีบ้าง เพื่อจะได้รู้เท่ากันโรค


ลิ้นหัวใจก็คือส่วนหนึ่งของหัวใจคนเรา ทำหน้าที่เสมือนประตู ที่กั้นไม่ให้เลือดที่อยู่ในห้องหัวใจทั้ง 4 ห้องไหลย้อนกลับ ในขณะที่หัวใจกำลังทำการบีบตัว ฉะนั้นแล้วลิ้นหัวใจ จึงทำหน้าที่คล้ายกับวาล์ว คอยปิด-เปิด อยู่ระหว่างห้องหัวใจของเราตั้งแต่เกิด ซึ่งลิ้นหัวใจแบ่งอยู่ 4 ตำแหน่ง คือ
1.ไตรคัสปิด (Tricuspid) อยู่ระหว่าหัวใจห้องขวาบนและล่าง
2.พูลโมนารี่ (Pulmonary) อยู่ระหว่างหัวใจห้องขวาล่างกับหลอดเลือดแดงที่ไปปอด
3.ไมตรัล (Mitral) อยู่ระหว่างหัวใจห้องซ้ายบนและล่าง
4.เอออร์ติค (Aortic) อยู่ระหว่างหัวใจห้องซ้ายล่างกับหลอดเลือดแดงใหญ่ที่ไปเลี้ยงร่างกาย

ลักษณะของลิ้นหัวใจประกอบไปด้วยเนื้อเยื่อเป็นแผ่น บางหรือหนา และจำนวนแผ่นเนื้อเยื่อจะขึ้นกับตำแหน่งของลิ้นหัวใจ เช่น ลิ้นหัวใจไมทรัล ซึ่งเป็นลิ้นที่มีความสำคัญมากลิ้นหนึ่งประกอบไปด้วยแผ่น (leaflet) 2 แผ่น เป็นรูปคล้ายอานม้า หนาประมาณ 2-3 มิลลิเมตร ส่วนของลิ้นเอออร์ติค เป็นจะแผ่นรูปเสี้ยงวงกลมบางๆ จำนวน 3 แผ่น เป็นต้น แผ่นเหล่านี้ดูเหมือนอ่อนแอ ขาดง่าย แต่ความเป็นจริงแล้วมีความแข็งแรงมาก

สาเหตุของโรคลิ้นหัวใจรั่ว
1.ลิ้นหัวใจผิดปกติตั้งแต่กำเนิด
2.ลิ้นหัวใจเสื่อมตามวัย
3.โรคหัวใจรูห์มาติค
4.ติดเชื้อที่ลิ้นหัวใจ

การรักษา
อย่างที่กล่าวว่าลิ้นหัวใจของคนเราก็เปรียบเสมือนวาล์ว ที่คอยปิด-เปิด หากทำงานผิดปกติ ไม่สามารถปิด หรือเปิดได้ตามปกติแล้ว จะแก้ไขด้วยการเปลี่ยน หรือหยอดน้ำมันลงไป คงไม่ง่ายดายนัก เพราะหากลิ้นหัวใจเกิดความผิดปกติขึ้นแล้ว แพทย์ต้องทำการวินิจฉัยดูก่อนว่า ลิ้นหัวใจเสียขนาดไหน และจะต้องติดตามดูอาการไปเรื่อยๆ จนกว่าจะถึงเวลาที่เหมาะสมว่าควรจะผ่าตัดซ่อมแซม หรือจะผ่าตัดเปลี่ยนลิ้นหัวใจ

การปฏิบัติตัวสำหรับผู้ป่วยโรคลิ้นหัวใจรั่ว
หากลิ้นหัวใจรั่วไม่มากก็สามารถมีกิจกรรมต่างๆได้ตามปกติ ส่วนถ้ารั่วมาก มักจะมีอาการหอบเหนื่อย ซึ่งก็ถูกจำกัดกิจกรรมต่างๆ ไปโดยปริยาย หัวใจท่านอ่อนแออยู่แล้ว ดังนั้นท่านต้องทะนุถนอมหัวใจท่านให้มากๆ ไม่ทำร้ายหัวใจด้วย อาหารเค็ม บุหรี่ อาหาร ไขมันสูง เหล้า-เบียร์-ไวน์ เพราะสิ่งเหล่านี้จะทำให้กล้ามเนื้อหัวใจแย่ลง

สิ่งสำคัญประการหนึ่งในผู้ป่วยที่มีความผิดปกติของลิ้นหัวใจ คือ ต้องระวังการติดเชื้อ ดังนั้นหากจะทำฟัน ถอนฟัน ขูดหินปูน หรือ ทำผ่าตัดใดๆ ก็ต้องบอกแพทย์ให้ทราบด้วย เพื่อให้ยาป้องกันการติดเชื้อก่อน

หากท่านมีปัญหาสงสัยว่าตัวเองจะเป็นโรคหัวใจ หรือ มีลิ้นหัวใจรั่ว หรือ ไม่เคยตรวจสุขภาพเลย (เพราะคิดว่าแข็งแรง ไม่มีอาการ) อยากแนะนำให้ปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคหัวใจ ก่อนที่จะสายเกินแก้


ศูนย์หัวใจพญาไท โรงพยาบาลพญาไท โทร.1772
ขอบคุณภาพจาก www.cbc.ca
http://www.phyathai.com

โรคหลอดเลือดสมอง

จากรายงานผลการศึกษาภาวะโรคและการบาดเจ็บของประชากรไทย พ.ศ.2547 พบว่าโรคหลอดเลือดสมองเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับแรกของผู้หญิงไทย และคิดเป็น 15% ของการเสียชีวิต ในผู้ชายพบบ่อยเป็นอันดับสองรองมาจากโรคเอดส์และคิดเป็น 10% ของการเสียชีวิต นอกจากนี้ยังทำให้เกิดความพิการซึ่งมีผลต่อการทำงาน และการดูแลตนเองคิดเป็นอันดับ 2 ในผู้หญิงและอันดับ 3 ในผู้ชาย

อุบัติการณ์การเกิดโรคหลอดเลือดสมองในคนไทยประมาณ 250 รายต่อประชากร 100,000 คนซึ่งคำนวณได้ว่าน่าจะมีคนไทย เป็นโรคหลอดเลือดสมองปีละ 150,000 รายหรือคนไทยเป็นโรคนี้ 1 รายทุกๆ 4 นาที และเสียชีวิต 1 รายทุก 10 นาที

สาเหตุของโรคหลอดเลือดสมองโรคหลอดเลือดสมองหรือ Stroke เป็นโรคที่เกิดจากหลอดเลือดไปเลี้ยงสมอง มีความผิดปกติซึ่งมี 2 ชนิดคือหลอดเลือดสมองอุดตันและหลอดเลือดสมองแตก ทำให้สมองหยุดทำงานไปอย่างเฉียบพลัน จากการที่สมองไม่มีเลือดไปเลี้ยงหรือมีเลือดออกแทรกทับในเนื้อสมอง

70% ของโรคหลอดเลือดสมองเกิดจากการที่เลือดไปเลี้ยงสมองไม่พอ ซึ่งเกิดจากสาเหตุสำคัญ 3 ประการ

1. การอุดตันของหลอดเลือดจากการเสื่อมหรือการแข็งตัวของหลอดเลือด เป็นสาเหตุของหลอดเลือดอุดตันที่พบบ่อยที่สุด เกิดจากการที่ผู้ป่วยมีปัจจัยเสี่ยง เช่น สูงอายุ ความดันเลือดสูง เบาหวาน สูบบุหรี่ หรือไขมันในเลือดสูง ผู้ป่วยบางรายอาจจะมีปัจจัยเสี่ยงอย่างเดียวหรือหลายอย่างในคนเดียวกันก็ได้

2. ก้อนเลือดจากหัวใจ หรือตะกอนเลือดจากผนังหลอดเลือดแดงที่คอด้านหน้าหลุดเข้าอุดตันหลอดเลือดในสมองสาเหตุของก้อนเลือดจากหัวใจหลุดเข้าสมอง มักเกิดในคนที่มีการเต้นหัวใจไม่สม่ำเสมอ ชนิดหัวใจห้องซ้ายบนเต้นพริ้ว (atrial fibrillation หรือ AF) การเต้นของหัวใจที่บีบตัวไม่พร้อมกันทั้งห้อง ทำให้มีเลือดค้างในห้องหัวใจ เลือดจะเกิดการแข็งตัวเป็นก้อนเลือดขนาดใหญ่บ้างเล็กบ้าง ในวันที่เกิดอาการ เกิดจากก้อนเลือดหลุดออกไปที่หัวใจห้องซ้ายล่าง แล้วออกต่อไปที่หลอดเลือดแดงใหญ่ และหลุดเข้าไปในสมอง เกิดการอุดตันของหลอดเลือดที่มีขนาดเล็กกว่าก้อนเลือด ทำให้สมองขาดเลือดไปเลี้ยง นอกจากนี้ตะกอนเลือดที่อยู่ที่ผิวของ plaque ในผนังหลอดเลือดใหญ่ที่คอ สามารถหลุดเข้าไปติดในหลอดเลือดสมอง จากแรงของเลือดที่ไหลเร็วกว่าปกติบริเวณที่หลอดเลือดคอตีบ ทำให้เกิดการอุดตันของหลอดเลือดในสมองได้เช่นกัน

3. ความดันเลือดลดลงมาก จนไปเลี้ยงสมองไม่ทันเป็นสาเหตุที่พบได้น้อยกว่า 1% ของผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองทั้งหมด สาเหตุของความดันเลือดที่ลดลง ได้แก่ 3.1 หัวใจหยุดเต้นจากการขาดเลือดไปเลี้ยงสมองหรือเรียกว่า Heart attack เมื่อกู้ชีพมาได้หลังจากหัวใจหยุดทำงานไปนาน ทำให้สมองขาดเลือดไปเลี้ยง เมื่อหัวใจกลับมาเต้นใหม่ แต่สมองขาดเลือดนานเกินไป ก็ไม่สามารถกลับมาทำงานใหม่ได้ 3.2 ความดันเลือดตกมากในผู้ป่วยติดเชื้อเข้ากระแสเลือดที่เรียกว่าภาวะช็อค (shock) 3.3 การกินยาลดความดันเกินขนาด ทำให้ความดันเลือดต่ำจนไม่สามารถเลี้ยงสมองได้พอ 3.4 ความดันต่ำจากการเปลี่ยนท่า จากท่านอนหรือนั่งเป็นท่ายืนเร็วเกินไป มักพบในคนสูงอายุที่กินยาลดความอ้วน หรือผู้ป่วยที่เป็นโรคเบาหวานมานาน และมีการเสื่อมของประสาทส่วนปลายร่วมด้วย


อีก 30% เกิดจากหลอดเลือดในสมองแตก แบ่งได้เป็น 2 ชนิด

1. เลือดออกในเนื้อสมอง (Intracerebral hemorrage หรือ ICH) เกิดจากหลอดเลือดขนาดเล็กมากเทาเส้นผมหรือเล็กกว่า เกิดการโป่งพอง หรือผนังหลอดเลือดเองเปราะบางจากอายุที่มาก เกิดการแตกทำให้เลือดออกในเนื้อสมองขนาดเท่าเม็กถั่วจนอาจจะใหญ่เท่าผลส้มลูกใหญ่ได้ ผู้ป่วยเหล่านี้จะเกิดอาการอัมพฤกษ์ อัมพาต ปวดศรีษะรุนแรง อาเจียนหรือหมดสติได้ ในรายที่ก้อนเลือดมีขนาดใหญ่ สาเหตุที่พบได้แก่

1.1 ผู้ป่วยมีปัจจัยเสี่ยง ได้แก่ คนสูงอายุ มีความดันสูงมานาน เบาหวาน ดื่มเหล้าเบียร์มาก เครียดมาก
1.2 ผู้ป่วยสูงอายุและมีผนังหลอดเลือดเปราะ (amyloid angiopathy)

1.3 ผู้ป่วยที่มีหลอดเลือดพิการแต่กำเนิด ซึ่งมีหลอดเลือดขดไปมาจำนวนมากและขนาดใหญ่กว่าปกติ (arteriovenous malformation หรือ AVM)

2. เลือดออกที่ผิวสมอง (Subarachnoid hemorrhage หรือ SAH) เกิดจาก หลอดเลือดขนาดใหญ่ที่ฐานสมอง ซึ่งมีขนาดประมาณไส้ปากกาลูกลื่นถึงขนาดหลอดดูดกาแฟขนาดเล็ก เกิดการโป่งพองและค่อยๆ โตขึ้นเรื่อยๆ จนในที่สุดบางมากแล้วแตกออก เลือดที่ออกมักมีจำนวนมากและกระจายไปทั่วผิวสมอง ผู้ป่วยจะมีอาการปวดศรีษะมาก อาเจียน ถ้าเป็นมากอาจหมดสติหรือเสียชีวิตได้ สาเหตุที่พบ ได้แก่

2.1 ผู้ป่วยที่มีผนังหลอดเลือดใหญ่ที่ฐานสมองไม่แข็งแรงร่วมกับมีความดันสูงมานาน ความดันสูงนี้จะค่อยๆ ดันให้ผนังหลอดเลือดโตเป็นกระเปาะ โตขึ้นเรื่อยๆ ผนังหลอดเลือดบางลงเรื่อยๆ และในที่สุดก็จะแตกออก

2.2 หลอดเลือดพอการแต่กำเนิดที่มีจำนวนมาก ขดไปมาและขนาดใหญ่กว่าปกติ (AVM) บริเวณผิวสมอง ซึ่งเป็นตั้งแต่กำเนิด เมื่อโตขึ้นจะมีขนาดใหญ่ขึ้นและแตกได้ในที่สุด

อาการของโรคหลอดเลือดสมอง
สมองแต่ละส่วนมีหน้าที่ของตนเอง ถ้าสมองส่วนใดก็ตามขาดเลือดไปเลี้ยงจากการที่หลอดเลือดอุดตัน หรือมีเลือดออกคั่งในสมองทำให้สมองส่วนนั้นๆ หยุดการทำงานไป ทำให้เกิดอาการตามส่วนของสมองที่เกิดปัญหา สมองมีส่วนต่างๆ ที่สำคัญดังนี้

1. สมองใหญ่ (Cerebrum) อยู่ด้านบนสุดและมีขนาดใหญ่สุด แบ่งได้เป็น 5 ส่วน

1.1 สมองใหญ่ส่วนหน้า (Frontal lobe) ทำหน้าที่สั่งให้ร่างกายเคลื่อนไหวโดยสมองข้างขวาสั่งให้ร่างกายซีกซ้ายเคลื่อนไหว และสมองข้างซ้ายสั่งให้ร่างกายซีกขวาเคลื่อนไหว ถ้าสมองส่วนนี้หรือเส้นประสาทที่ส่งต่อเนื่องไปยังร่างกายเสียหายหรือหยุดทำงาน ผู้ป่วยจะมีอาการอ่อนแรงด้านตรงข้ามรวมทั้งใบหน้าด้านตรงข้ามจะเบี้ยวไปด้วย ถ้าเป็นมาก ขยับไม่ได้เลย เรียกว่า อัมพาตครึ่งซีก ถ้าพอขยับหรือยกแขนขาได้เรียกว่า อัมพฤกษ์ นอกจากนี้มีส่วนของการสั่งให้พูด (Broca area) อยู่ด้านล่างของสมองส่วนหน้าข้างซ้าย (เป็นสมองข้างที่เด่นซึ่งในคนมักเป็นข้างซ้าย) ถ้าสมองส่วนนี้เสียไปผู้ป่วยพูดไม่ได้หรือถ้าเป็นไม่มาก ผู้ป่วยอาจพูดได้บางคำและพูดต่อเป็นประโยคไม่ได้
1.2 สมองใหญ่ส่วนข้าง (Parietal lobe) มีหน้าที่รับรู้การสัมผัส การเจ็บร้อนเย็น จากร่างกายซีกด้านตรงข้าม ถ้าผิดปกติจะมีการชาด้านตรงข้ามกับสมองที่มีปัญหา
1.3 สมองใหญ่ส่วนขมับ (Temporal lobe) มีหน้าที่สำคัญเกี่ยวกับความจำ แต่มีส่วนที่สำคัญจุดหนึ่งทำหน้าที่แปลเสียงที่ได้ยิน เป็นภาษาและต้องอยู่ในสมองข้างที่เด่น (ข้างซ้าย) ถ้าสมองส่วนนี้เสีย ผู้ป่วยจะไม่เข้าใจเสียงที่ได้ยินว่าแปลว่าอะไร ทั้งที่เป็นภาษาไทยที่เคยรู้มาก่อน
1.4 สมองใหญ่ส่วนท้ายทอย (Occipital lobe) มีหน้าที่สำคัญคือการรับภาพที่ส่งมาทางตา ถ้าสมองส่วนนี้เสีย ผู้ป่วยจะมองไม่เห็นครึ่งซีกของลานสายตาของแต่ละตา ถ้าทดสอบโดยการผิดตา เมื่อเปิดตาพร้อมกันสองข้างผู้ป่วยจะมองไม่เห็นครึ่งซีกด้านตรงข้ามกับสมองที่เสีย
1.5 สมองใหญ่ส่วนใน (Insular lobe) มีหน้าที่เกี่ยวกับการควบคุมประสาทอัตโนมัติ ไม่มีความสำคัญในเรื่องของโรคหลอดเลือดสมอง

2. แกนสมอง (Brain stem) เป็นส่วนของสมองที่สายใยประสาทจากสมองลงมาไขสันหลังและจากไขสันหลังขึ้นไปยังสมอง และควบคุมการทำงานของเส้นประสาทสมองจำนวน 12 คู่ นอกจากนี้ยังทำหน้าที่ประสานการทรงตัวกับสมองเล็ก ถ้ามีความผิดปกติ มีการอ่อนแรงของแขนขา การชา เห็นภาพซ้อน พูดไม่ชัด เดินเซ กินแล้วสำลัก เวียนศรีษะบ้านหมุน ถ้าเป็นมากอาจหมดสติโดยไม่รู้ตัว
3. สมองเล็ก (Cerebellum) อยู่ด้านหลังสุดทำหน้าที่ประสานสมองส่วนต่างๆ ทำงานสัมพันธ์กัน โดยเฉพาะด้านการเคลื่อนไหว ถ้าสมองส่วนนี้เสียการทำหน้าที่ จะทำให้มีอาการเวียนศรีษะบ้านหมุน เดินเซ ทรงตัวไม่ได้ พูดไม่ชัด แต่ไม่มีอาการอ่อนแรง
ผู้ป่วยอาจมีอาการเดียวหรือหลายๆ อาการรวมกันได้ เช่นบางคนมีอ่อนแรงอย่างเดียว ชาครึ่งซีกอย่างเดียว บางคนอาจจะมีการอ่อนแรงครึ่งซีก ร่วมกับพูดไม่ชัด รับประทานอาการสำลัก และเดินเซ

ผู้ป่วยที่มีอาการมากมักเกิดจากหลอดเลือดสมองขนาดใหญ่อุดตัน หรือมีเลือดออกในสมองขนาดใหญ่ (ใหญ่กว่าอีกปิงปอง) ผู้ป่วยที่มีเลือดออกที่ผิวสมองมักมีอาการปวดหัวรุนแรงและซึมลง โดยที่ไม่มีอาการอ่อนแรงก็ได้ ไม่มีอะไรมาเตือนก่อนล่วงหน้า
ที่สำคัญมากคือ ผู้ป่วยทั้งหมดจะมีอาการที่เกิดขึ้นโดยเฉียบพลันทั้งสิ้น

อาการสำคัญของโรคหลอดเลือดสมอง

1.หน้าเบี้ยวหรือปากเบี้ยว (Face)
2.แขนขาไม่มีแรง (Arm)
3.พูดไม่ชัด พูดอ้อแอ้ หรือพูดไม่ออกเลย (Speech)
- อาการทุกข้อเกิดขึ้นทันที อย่างเฉียบพลัน
- เมื่อเกิดอาการใดอาการหนึ่งหรือเกิดหลายอาการในคนเดียวกัน ต้องไม่รอช้าให้รีบไปโรงพยาบาลทันที (Time)
- เมื่อนำคำหน้าในภาษาอังกฤษมาเรียงกันทำให้จำง่ายขึ้น คือ FAST



บทความโดยนพ.สุรัตน์ บุญญะการกุล / นพ.สมบัติ มุ่งทวีพงษา
ศูนย์โรคหลอดเลือดสมอง โรงพยาบาลพญาไท 1 โทร.0-2640-1111
http://www.phyathai.com